Thursday, June 25, 2020

ชมภาพสุดคิวต์ เจ้าออกัส ขึ้นแท่นตูบโกลเด้น อายุมากสุดในโลก หลังฉลองวันเกิด 20 ปี

ภาพจาก เฟซบุ๊ก GoldHeart Golden Retrievers Rescue

ตามไปชมภาพ ออกัส หรือออกี้ คุณยายตูบแสนน่ารัก ขึ้นแท่นเป็นโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่อายุมากสุดในโลก หลังฉลองวันเกิดครบ 20 ปี อายุยืนกว่าสายพันธุ์เดียวกันเกือบ 2 เท่า

วันที่ 23 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์เมโทร รายงานว่า เจ้าตูบ "ออกัส" ที่แสนน่ารักจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ได้รับการยกให้เป็นสุนัขสายพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่อายุมากที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่คุณยายตูบตัวนี้ได้ฉลองวันเกิดครบรอบ 20 ปี ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ท่ามกลางพี่น้องโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างแสนอบอุ่น
ภาพจาก เฟซบุ๊ก GoldHeart Golden Retrievers Rescue

รายงานเผยว่า เจ้าออกัส หรือ "ออกี้" เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 โดยเมื่อดูจากอายุของมันนั้นนับว่าน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีอายุยืนมากกว่าสุนัขในสายพันธุ์เดียวกันอยู่มาก โดยปกติแล้ว โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จะมีอายุขัยเฉลี่ยอยูที่ 10-12 ปี

ทางด้าน Goldheart Golden Retrievers องค์กรช่วยเหลือสัตว์ในรัฐเทนเนสซี ซึ่งเคยช่วยหาบ้านใหม่ให้คุณยายออกี้ ได้เผยข่าวที่น่ายินดีของมันลงเฟซบุ๊กเพจ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ด้วยอายุถึง 20 ปีซึ่งมากกว่าอายุทั่วไปของสายพันธุ์นี้ถึง 2 เท่า ออกี้ใช้ชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้ด้วยยีนที่ยอดเยี่ยม ประกอบกับการดูแลอย่างดีเยี่ยมจาก เจนนิเฟอร์ ผู้เป็นเจ้าของมัน
หลังจากต้องหาบ้านใหม่ถึง 2 ครั้ง ในที่สุด เจนนิเฟอร์ ก็ยินดีจะรับออกี้มาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ขณะที่มันมีอายุ 14 ปี แถมยังรับเลี้ยงสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ตัวอื่น ๆ มาเพิ่มเพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าออกี้ด้วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก GoldHeart Golden Retrievers Rescue
และเมื่อโอกาสพิเศษอย่างการฉลองวันเกิดครบ 20 ปีของออกี้มาถึง เจนนิเฟอร์ก็ไม่พลาดที่จะจัดงานฉลองให้มันอย่างน่ารัก ด้วยเค้กสำหรับสุนัข ป้ายแบนเนอร์แสดงความยินดี และผ้าพันคอสวยเก๋
ภาพจาก เฟซบุ๊ก GoldHeart Golden Retrievers Rescue
ทั้งนี้ แม้ว่าออกี้จะอายุมากชนิดที่ว่าเป็นคุณยายตูบได้แล้ว แต่มันยังคงแข็งแรงดีและเคลื่อนไหวได้ ออกี้ยังสนุกกับการเดินเล่นอยู่รอบ ๆ สวนในบ้าน แม้ว่าจะตัวสั่นเล็กน้อยตอนที่ยืนขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ขณะที่ เจนนิเฟอร์ ยืนยันว่า เธอจะดูแลออกี้ให้นานที่สุดและจะรักพวกมันตลอดไป
ภาพจาก เฟซบุ๊ก GoldHeart Golden Retrievers Rescue

ขอบคุณข้อมูลจาก เมโทร 

Thursday, June 11, 2020

ชะตากรรมสลด ลูกสิงโตถูกคนใจร้ายจับหักขา ทารุณสารพัด ไม่ให้หนีตอน นทท. มาถ่ายรูป


      เวทนา ลูกสิงโตถูกคนใจร้ายจับหักขา ไม่ให้หนีตอนมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป ชี้ถูกทารุณสารพัดจนใกล้ตาย แต่ชะตาเปลี่ยนเมื่อได้รับความช่วยเหลือ จนตอนนี้เริ่มเดินได้อีกครั้ง


      วันที่ 10 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์เดลี่เมล มีรายงานเรื่องราวชวนสะเทือนใจของลูกสิงโตตัวหนึ่ง ที่ได้รับความทรมานสารพัดจากน้ำมือของมนุษย์ ถูกพรากจากอกแม่ ก่อนจะถูกคนใจร้ายจับหักขาหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มันหนีไปไหนระหว่างนำตัวมาให้นักท่องเที่ยวบนชายหาดในรัสเซียได้เข้ามาถ่ายรูปด้วย

ภาพจาก Instagram karendallakyan

       รายงานเผยว่า ซิมบ้า ลูกสิงโตตัวนี้ ถูกมนุษย์แอบลักพาตัวมาจากแม่ของมัน ตั้งแต่ตอนที่มีอายุไม่กี่สัปดาห์ จากนั้นมันก็ถูกช่างภาพรายหนึ่งนำมาเร่ร่อนตระเวนไปตามชายหาดที่เมืองโซชี ในดินแดนครัสโนดาร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศรัสเซีย เมื่อฤดูร้อนปี 2562 เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูป


       อย่างไรก็ตาม เมื่อซิมบ้าเริ่มโตขึ้นช่างภาพใจร้ายก็ตีขามันจนหักเพื่อให้มันอยู่นิ่ง ๆ และไม่วิ่งหนีไปไหน ซิมบ้ายังถูกทารุณอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการทุบตี ปล่อยให้อดอาหารจนซูบผอม ต่อมามีคนพบมันถูกล่ามไว้ในโรงนาที่ทั้งสกปรกและหนาวเหน็บ ในภูมิภาคดาเกสถาน

       สื่อท้องถิ่นเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สุขภาพของลูกสิงโตทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว โดยความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับจากอาการบาดเจ็บสาหัสที่กระดูกสันหลัง ทำให้มันใกล้ตาย ชีวิตของลูกสิงโตราวกับอยู่ในนรกบนดิน


       อย่างไรก็ตาม นับเป็นโชคดีมันได้รับความช่วยเหลือในที่สุด โดย ยูเลีย อกีวา ผู้นำทีมภารกิจช่วยเหลือสัตว์ป่า เผยถึงสภาพของซิมบ้าตอนที่เขาไปพบตัวมันว่า ลูกสิงโตไม่ได้รับอาหารอะไรเลย และยังมีน้ำค้างหยดใส่ตัวมันตลอดเวลา ในตอนที่ลูกสิงโตซึ่งอ่อนแอและผอมแห้งพยายามเลียอุ้งเท้าเพื่อทำความสะอาดตัวเอง มันยังสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด ขาหลังของมันบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด

       ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้น คือเจ้าหน้าที่พบว่าซิมบ้ายังมีความทุกข์ทรมานจากอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม มันมีแผลกดทับ ลำไส้อุดตันและกล้ามเนื้อลีบที่ขาหลัง


       คนที่ช่วยเหลือซิมบ้า ตัดสินใจนำตัวมันมาหา คาเรน ดัลลักยาน สัตวแพทย์เฉพาะทางในเมืองเชเลียบินสค์ เพื่อทำการดูแลรักษาลูกสิงโตที่น่าสงสาร ซึ่งพบว่าภายหลังการผ่าตัดช่วยชีวิต รวมถึงการดูแลอย่างเอาใจใส่ของสัตวแพทย์ อาการของซิมบ้าก็ค่อย ๆ ดีขึ้นทีละน้อย และมันก็เริ่มเรียนรู้การเดินใหม่อีกครั้ง ภายใต้การกระตุ้นอย่างอ่อนโยนจากคาเรน

       แม้จะเจ็บปวด แต่ลูกสิงโตที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงค่อย ๆ คลาน ก็เริ่มลุกขึ้นและเดินได้อีกครั้ง ในก้าวที่โซเซ นับเป็นการฟื้นฟูอย่างน่าอัศจรรย์สำหรับลูกสิงโตที่ถูกทารุณกรรม


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังค้างคาใจคาเรนอยู่ ก็คือการที่ไม่มีการสืบสวนหรือดำเนินคดีอะไรกับคนที่ทารุณกรรมสัตว์ตัวนี้ ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจพูดถึงเรื่องชะตากรรมของซิมบ้า ให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้ทราบระหว่างการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ในช่วงที่ประเทศถูกล็อกดาวน์ ซึ่งทางผู้นำรัสเซียก็ช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และให้คำมั่นว่าจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์

ภาพจาก Instagram karendallakyan

       ทั้งนี้ หลังจากที่ทางประธานาธิบดีมีคำสั่งให้เริ่มสอบสวนคดีอาญา ต่อคนที่เกี่ยวข้องแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ได้เข้ามาสอบสวน อย่างไรก็ตามช่างภาพที่เคยนำซิมบ้าออกไปเร่ถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว ปฏิเสธข้อหาทารุณกรรมสัตว์ อ้างว่าตัวเองได้ยกลูกสิงโตให้กับเจ้าของใหม่ไปแล้ว

ภาพจาก Instagram karendallakyan


Wednesday, June 3, 2020

ลุงหย่าเมียทาสแมว สะบั้นชีวิตคู่ 45 ปี สุดทนเลี้ยงไว้เต็มบ้าน ฟางเส้นสุดท้ายคือฉี่แมว

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

         ชายสิงคโปร์ฟ้องหย่าเมีย หลังเลี้ยงแมวเยอะเกิน จนสร้างปัญหาให้กับชีวิต เผยมัวแต่สนใจแมว ไม่เหลียวแลผัว ซ้ำปล่อยแมวขับถ่ายเรี่ยราดเต็มบ้าน เผยทนมาหลายสิบปี มาถึงจุดแตกหัก เพราะโดนแมวฉี่รด


         เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์ทูเดย์ออนไลน์ รายงานว่า ชายชาวสิงคโปร์ วัย 70 ปี (สงวนนาม) ได้ยื่นเรื่องฟ้องหย่าภรรยา วัย 67 ปี (สงวนนาม) ที่อยู่กินกันมานาน 45 ปี เนื่องจากทนพฤติกรรมการเป็น "ทาสแมว" ของเธอ ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว และไม่สามารถอดทนกับแมวที่เธอเลี้ยงได้ โดยสามีอดทนกับความคลั่งแมวของภรรยามายาวนานกว่า 20 ปี จนมันมาถึงจุดแตกหักในชีวิตคู่

          คู่สามีภรรยาดังกล่าวแต่งงานกันในปี 2518 และมีลูกด้วยกัน 3 คน ฝ่ายชายประกอบอาชีพเป็นครู ส่วนฝ่ายหญิงไม่ทราบแน่ชัดว่าเธอทำงานอะไร ชีวิตสมรสของพวกเขาเป็นไปด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัด จนกระทั่งในปี 2540 หลายครั้งที่ภรรยาฝันเห็นแม่ที่ตายไปแล้ว ซึ่งแม่ที่มาเข้าฝันบอกให้ลูกสาวทำดีกับแมว เพราะจะช่วยให้ได้ "ไปสวรรค์"

          ในปีนั้นเอง ฝ่ายภรรยาก็เริ่มต้นตระเวนออกให้อาหารแมวจรจัด และรับแมวหลายตัวมาเลี้ยงที่บ้าน ลูกชายคนเล็กของเธอก็เอาลูกแมวตัวหนึ่งกลับไปเลี้ยงที่บ้านของเขาเองเช่นกัน ฝ่ายภรรยายังคงหาแมวมาเลี้ยงอยู่เรื่อย ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา โดยเนื้อหาในเอกสารยื่นฟ้องหย่าระบุว่า ฝ่ายภรรยาเลี้ยงแมวแบบให้อิสระกับพวกมันเต็มที่ ปล่อยให้พวกมันเดินไปเดินมาทั่วบ้าน



          ปัญหาสำคัญก็คือ แมวเหล่านี้ไม่เคยถูกฝึกหัดให้ขับถ่ายอย่างถูกต้องเป็นที่เป็นทาง พวกมันขับถ่ายทุกที่ตามใจชอบ แม้กระทั่งบนเตียงนอน ฝ่ายสามีไม่สามารถทนนอนบนเตียงได้ และต้องมาปูเสื่อนอนกับพื้น นอกจากนี้แล้ว กลิ่นอุจจาระและฉี่แมว เหม็นคละคลุ้งไปทั่วบ้าน สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นมีการโทร. แจ้งตำรวจให้มาจัดการ โดยเจ้าหน้าที่ได้ว่ากล่าวตักเตือนฝ่ายภรรยา ให้ควบคุมดูแลแมวให้ดี แต่เธอก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ยังคงปฏิบัติเช่นเดิม และหาแมวมาเลี้ยงเพิ่มอีก

         ในปี 2546 ฝ่ายสามีไม่สามารถอดทนกับปัญหานี้ได้อีกต่อไป และได้โทรแจ้งตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วให้พวกเขาดูว่า สภาพบ้านที่เขาต้องอดทนอยู่ นั้นเต็มไปด้วยแมว แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจแจ้งว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาครอบครัว พวกเขาไม่สามารถช่วยแก้ไขอะไรให้ได้ และเดินทางกลับไป โดยปัญหาระหองระแหงของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินต่อไป เนื่องภรรยาสนใจแต่แมว ไม่ใส่ใจสามีของเธอเลย

          ในปี 2547 ฝ่ายสามีเกษียณอายุราชการ เขาได้นำแบ่งเงินบำนาญมา 500,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 11.3 ล้านบาท (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) เขานำเงินส่วนหนึ่งไปใช้หนี้บ้าน และแบ่งเงินเอาไว้ 5 ส่วน ฝากไว้ในบัญชี 5 เล่ม ตามคำแนะนำของภรรยา ต่อมาในปี 2548 ฝ่ายสามีค้นพบว่าในบัญชีทั้งหมดนั้น มีเพียง 2 บัญชีเท่านั้นที่เป็นชื่อของเขา ซึ่งมีเงินฝากอยู่แค่ 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 2.26 ล้านบาทเขาจึงถอนเงินออกมา ปิดบัญชี และย้ายเงินไปเข้าบัญชีใหม่


          ในปี 2549 ฝ่ายสามีถูกแมวฉี่รดขณะนอนหลับ มันคือจุดแตกหัก เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปและเก็บข้าวของย้ายออกจากบ้าน ไปอยู่กับน้องเขย และไม่ติดต่อกับภรรยาอีกเลย นอกจากปัญหาการเสพติดแมวของภรรยาแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องเงินอีกด้วย โดยฝ่ายภรรยาแอบถอนเงินบำนาญของสามีมา 200,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 4.5 ล้านบาท โดยที่สามีไม่รู้เห็น เพื่อเอาไปซื้อรถให้กับลูกชาย และใช้จับจ่ายซื้อของต่าง ๆ ตามใจ

          รายงานระบุอีกว่า ลูกสาวของทั้งสอง ถูกฟ้องเรียกค่าปรับเนื่องจากไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้คนรับใช้ที่จ้างมาเลี้ยงดูแมวให้กับแม่ ซึ่งฝ่ายแม่ก็ยื่นฟ้องล้มละลาย หลังจากศาลบังคับให้จ่ายเงินค่าดำเนินการทางกฎหมาย พร้อมกับฟ้องกลับคนรับใช้ อ้างว่าฆ่าแมวของเธอไป 40 ตัว

          สามีระบุได้เอกสารหย่าว่า เขาทุกข์ทนทรมานกับแมวมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี  ไม่มีการเปิดเผยว่าภรรยาของเขามีแมวกี่ตัว แต่จากข้อมูลที่ฝ่ายภรรยาอ้างว่าแมวถูกฆ่าไป 40 ตัว ดังนั้นแมวในบ้านน่าจะมีจำนวนมากกว่านั้น อาจจะมีหลายสิบตัวจนเต็มบ้าน ไม่มีที่ให้อยู่ นอกจากนี้แล้ว เขายังอ้างว่าภรรยาห้ามไม่ให้ไปพบลูก ๆ แม้แต่ตอนที่ลูกชายต้องเข้าห้องไอซียู

          กระทั่งวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 ชีค มุสตาฟา อาบู ฮัสซาน ผู้พิพากษาศาลเล็งเห็นว่าชีวิตคู่ของทั้งสองพังพินาศลง ไม่สามารถไปต่อได้ เนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายภรรยาไม่ต้องการหย่าและยื่นเรื่องคัดค้านคำตัดสินของศาลแล้ว

Tuesday, June 2, 2020

จากแมวที่เหมือนไม่ใช่แมว ขนยาวรุงรังราวพรมผ้าเก่า ๆ ได้รับการแปลงโฉมชุบชีวิต


          เหมียวจรจัดขนยาวรุงรังราวกับพรมผ้าเก่า ๆ ถูกทิ้ง ดูแทบไม่ออกว่าเป็นแมว ได้รับการแปลงโฉมชุบชีวิตใหม่ เปลี่ยนไปสุดทึ่ง ดูออกว่าเป็นแมวจริง ๆ เสียที

          - เจ้าหน้าที่ขององค์กรช่วยเหลือสัตว์ Arizona Humane Society ได้เจอกับสัตว์จรจัดตัวหนึ่ง สภาพสุดเวทนา มองดูไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ในตอนแรกแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือ สิ่งมีชีวิต

          - สภาพภายนอกของมันขนยาวเฟื้อยรุงรังและเป็นสังกะตัง นอนกองอยู่ราวกับเป็นพรมขนสัตว์เก่า ๆ ที่ถูกทิ้งเอาไว้ แต่เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้มีลมหายใจ ทางอาสาสมัครจึงเข้าช่วยเหลือและพากลับมาดูแล



           - และแล้วก็พบว่า เจ้าก้อนนี้ แท้จริงแล้วคือเจ้าเหมียวอายุ 4 ปี ที่มีขนยาวหนาและหนักเกือบ 1 กิโลกรัม นทีมอาสาจึงช่วยจัดการตัดขนออก กระทั่งในที่สุด ก็ได้เจอตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขนหนา

           - เหมียวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่แววตายังแสดงให้เห็นถึงความไม่คุ้นเคย เมื่อเปรียบเทียบภาพก่อนและหลังตัดขนออก แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นตัวเดียวกัน

           - เจ้าหน้าที่ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าฟลัฟเฟอร์ (Fluffer) ที่มาจากขนหนาฟูฟ่องของมันนั่นเอง


             - มีคนสงสัยว่าทำไมเจ้าของเจ้าฟลัฟเฟอร์ถึงอยู่ในสภาพนี้ ทางเจ้าหน้าที่เผยว่า เจ้าของเก่าไม่ได้ทิ้งมัน แต่เขาเสียชีวิตจากไปแล้ว เจ้าฟลัฟเฟอร์จึงอาศัยเอาชีวิตรอดไปตามชะตากรรม

              - แต่หลังจากนี้ไม่เป็นไรแล้ว เพราะเพียงแค่ 2 วันหลังจากเจ้าฟลัฟเฟอร์ได้รับการแปลงโฉมใหม่ ก็มีครอบครัวใจดีมารับไปเลี้ยงเป็นที่เรียบร้อย และหวังว่าหลังจากนี้ มันจะไม่กลับไปอยู่ในสภาพเดิมอีกแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก metro.co.uk