Friday, September 9, 2016

ยังกับในหนัง ผู้ต้องหาแสบงัดกุญแจมือ ปีนเพดานหนีสำเร็จ (ชมคลิป)




เปิดนาทีระทึก ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมงัดกุญแจมืออย่างใจเย็น ก่อนปีนเพดานหลบหนีออกจากห้องควบคุมตัวภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ในที่สุดตำรวจก็ตามล่าตัวกลับมาได้ เผยเป็นครั้งแรกใน 25 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งสถานีตำรวจมา

         การใส่กุญแจมือนักโทษล็อกไว้กับโต๊ะในห้องคุมขังอย่างที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นั้น เห็นทีจะใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียวสำหรับผู้ต้องหารายนี้ โดยเว็บไซต์เมโทร  ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอชวนอึ้งของนายอะลอนโซ เปเรซ ชาวอเมริกันวัย 25 ปี ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมรายหนึ่ง ที่ทำการหลบหนีออกมาจากสถานีตำรวจในลาสเวกัส ไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559


         โดยหลังจากที่นายอะลอนโซ ถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวมาได้ เขาก็ถูกนำตัวมาไว้ที่ห้องควบคุมเพื่อทำการสอบสวน โดยใส่กุญแจมือล็อกไว้กับแท่งเหล็กที่ยึดอยู่กับโต๊ะ แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั้น นายอะลอนโซก็จัดการงัดกุญแจมืออย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งบิดและออกแรงดึงจนกระทั่งสายโซ่กุญแจมือหลุดออกจากที่ยึด แต่ทั้งนี้ก็ยังใจเย็นทำเนียนเอามือขึ้นมาวางตบตาอยู่หลายจังหวะ ก่อนจะสบโอกาสเหมาะจึงรีบปีนฝ้าเพดานหลบหนีไปในที่สุด แต่ยังมีโซ่ตรวนล่ามข้อเท้าอยู่  

 
         รายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า นายอะลอนโซ ผู้ต้องหา ใช้เวลาปฏิบัติการทั้งสิ้นอย่างน้อยประมาณ 25 นาที ก่อนจะหลบซ่อนตัวออกไปยังด้านนอกโดยที่ยังมีโซ่ตรวนล่ามข้อเท้าอยู่ แล้วก็ขโมยรถบรรทุกของบริษัทแห่งหนึ่งที่จอดอยู่ขับหนีไป


         หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบรถบรรทุกคันดังกล่าวจอดทิ้งไว้ในชุมชนแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษก็ออกตรวจค้นจนทั่วบริเวณ นั้น จนกระทั่งพบตัวนายอะลอนโซหลบอยู่ในที่พักแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากจุดที่พบรถ ที่ขโมยมา จึงทำการเข้ารวบตัวได้อีกครั้งในวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยไม่มีการขัดขืนใด ๆ ก่อนจะส่งตัวไปดำเนินคดีต่อ

         สำหรับนายนายอะลอนโซนั้น เป็นผู้ต้องหาในคดียิงสังหารนายโมฮัมหมัด โรบินสัน วัย 27 ปี ที่หน้าร้านฟาสต์ฟู้ดในเมือง ส่วนทางสถานีตำรวจในลาสเวกัส ได้ออกมายอมรับความผิดพลาดนี้ เผยว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี และเตรียมดำเนินการตรวจสอบภายใน โดยเบื้องต้นได้ออกมาตรการให้เจ้าหน้าที่จับตาเฝ้าผู้ต้องหาตลอดเวลาแล้ว


http://hilight.kapook.com/view/141911

No comments:

Post a Comment